บททดสอบที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ! ส่อง 11 ตัวจริง ลิเวอร์พูล ดวล แมนซิตี้
- aywutwork2020
- 10 พ.ย. 2563
- ยาว 3 นาที
อัปเดตเมื่อ 9 ธ.ค. 2563
สำหรับเกมสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในการเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ถือเป็นบททดสอบสำคัญของพลพรรค "หงส์แดง" ในการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก ประจำฤดูกาล 2020/2021 เนื่องจากเจ้าบ้านทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในการเล่นที่เอติฮัด สเตเดี้ยม

เริ่มที่เกมรับช่วงที่ผ่านมาบรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" อาจจะรู้สึกกังวลเพราะทีมต้องใช้บริการ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ กับ รีส วิลเลี่ยมส์ สองดาวรุ่งประสบการณ์ สล็อต ได้เงินจริง น้อยจับคู่กับ โจ โกเมซ แม้พวกเขาจะช่วยทีมชนะในเกมพบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ อตาลันต้า ตามลำดับ แต่ก็ยังไม่อุ่นใจเพราะเกมบุกของเจ้าบ้านน่ากลัวเหลือเกิน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังพอมีข่าวดีเมื่อ โฌแอล มาติป น่าจะมีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนามในเกมนี้ ในขณะเดียวกับสองฟูลแบ็กขาประจำทั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คงได้ลงทำหน้าที่ตัวจริงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ มือ 1 ชาวบราซิเลียน ที่ทำหน้าที่เฝ้าเสา
ขณะที่แผงมิดฟิลด์ต้องบอกว่าเลยว่าเสียดายมากๆ ที่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า พลาดโอกาสได้พบ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เจ้านายเก่า เนื่องจากนักเตะยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ คล็อปป์ คงต้องใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ประสานงานกับ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม พร้อมกับ นาบี เกอิต้า ที่ฟิตสมบูรณ์แล้วลงเล่น
อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้เช่นกันว่า คล็อปป์ อาจจะใช้แผน 2 ในแผงกลางด้วยการใช้ เคอร์ติส โจนส์ ที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในเกมปะทะ อตาลันต้า ลงทำหน้าที่ร่วมกับ "กัปตันเฮนโด้" และ ไวนัลดุม ซึ่งศักยภาพของนักเตะน่าจะพอฟันพอเหวี่ยงกับแผนมิดฟิลด์ของ แมนฯ ซิตี้ เช่นกัน
ด้านแนวรุกหลายคนอาจจะมองว่า ดีโอโก้ โชต้า ที่กำลังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นน่าจะได้ยืมแนวรุก 3 ประสานร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่สำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ น่าจะมีแนวคิดที่แตกต่างเพราะเขายังเชื่อมั่น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ในการทำหน้าที่สำคัญในด้านหน้า เพราะมีประสบการณ์ และคุ้นเคยกับการเจอกับแนวรับ "เรือใบสีฟ้า"
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ฟอร์มของ โชต้า กำลังร้อนแรงก็อาจเป็นไปได้ที่ คล็อปป์ จะเลือกให้โอกาส สตาร์กองหน้าทีมชาติโปรตุเกส ลงสนามแทน ฟีร์มีโน่ เพราะหากมองจากผลงาน 10 เกมที่ผ่านมา นักเตะซัดไปถึง 7 ประตู และยังเล่นได้เข้าขากับ "บังโม" กับสตาร์ชาวเซเนกัล ที่สำคัญแนวรับของ แมนฯ ซิตี้ อาจจะจับทางยาก เนื่องจากไม่เคยรับมือ โชต้า, มาเน่, ซาลาห์ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขาเคยชินกับการดวลกับสามประสาน "หินเหล็กไฟ" ในช่วงที่ผ่านมา

คาดการณ์ 11 ตัวจริง ลิเวอร์พูล แผน 1 ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์
กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
กองกลาง : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, นาบี เกอิต้า
กองหน้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์
กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
กองกลาง : จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, เคอร์ติส โจนส์
กองหน้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, ดีโอโก้ โชต้า
สองทีมคลั่งเกมบุก ! ผ่า 5 ประเด็น แมนซิตี้ รับมือ ลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมสำคัญที่จะเป็นบททดสอบในการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ เมื่อต้องไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องเก็บชัยชนะให้ได้เพื่อกลับขึ้นไปยึดตำแหน่งจ่าฝูงอีกครั้ง

แมตช์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ASIAXX1 มีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะแยะโดยเฉพาะตัวผู้เล่นบาดเจ็บเนื่องจาก ติอาโก้ อัลกันตาร่า ยังไม่ฟิตที่จะลงสนามในเกมนี้ ขณะที่แนวรับยังพอมีข่าวดีเพราะ โฌแอล มาติป น่าจะได้จับคู่กับ โจ โกเมซ แต่ก็ยังมีแผนสำรองนั่นก็คือ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ กับ รีส วิลเลี่ยมส์ ที่พร้อมลงสนามเช่นกัน
ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" ตอนนี้ฟอร์มกำลังเข้าฝักสุดๆ แนวรุกก็ดุดัน ส่วนเกมรับก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพวกเขาเสียแค่ 3 ประตูจาก 8 เกมในการแข่งขันทุกรายการ ฉะนั้นเกมบุกของแชมป์เก่าคงต้องเจอกับงานหนักในการเจาะเข้าไปตะบันตาข่ายทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า
1. ออปชั่นเกมรุกหลากหลาย
ต้องยอมรับว่าในเวลานี้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีเกมรุกดุดันที่สุดในยุโรป โดยจะเห็นได้จากสถิติของพวกเขาที่มักจะเปิดฉากกดดันคู่แข่งจนโงหัวไม่ขึ้นตั้งแต่นาทีแรกจนกระทั่งจบเกม ฉะนั้นในเกมที่ต้องไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่า "หงส์แดง" ก็ยังคงรักษาสไตล์การเล่นแบบเฮฟวี่เมทัลต่อไป
การเล่นเกมสวนกลับที่รวดเร็ว, วิ่งเพรสซิ่ลคู่แข่งตลอด, พละกำลัง และเทคนิคส่วนตัวของนักเตะ ทัพ "หงส์แดง" มีครบครัน นอกจากนี้การเล่นแบบเข้าขารู้จักก็มีหมดทุกอย่าง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาสามารถกวาดแชมป์ได้มากมายเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

ที่สำคัญในฤดูกาลนี้ "หงส์แดง" มีการเสริมเกมรุกด้วยการคว้าตัว ดีโอโก้ โชต้า มาร่วมทีม ยิ่งทำให้ คล็อปป์ มีออปชั่นในการวางแท็คติกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ดูได้จากในแมตช์ล่าสุดที่บุกถล่ม อตาลันต้า 5-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์นี้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส ซัดแฮตทริกเรียบร้อย และยังกดไปแล้ว 7 ประตูจาก 10 แมตช์ด้วย
สำหรับในเกมเยือนเอติฮัด สเตเดี้ยม หาก คล็อปป์ เลือกใช้งานสามประสาน "หินเหล็กไฟ" ได้แก่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวจริงก่อน ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายเพราะทั้งสามคนก็เล่นได้เข้าขารู้ใจ แต่หากทีมเกิดอาการเกมรุกตีบตัน แน่นอนว่า โชต้า สามารถลงมาสร้างความแตกต่างได้ และเขาก็ทำให้เห็นมาแล้วในหลายๆ เกมที่ผ่านมา
กระนั้นหาก นายใหญ่ชาวเยอรมันเลือกให้โอกาส โชต้า ลงประสานงานกับ "โม ซาลาห์" และ มาเน่ โดยให้ ฟีร์มีโน่ นั่งรอไปก่อน ดีไม่ดีทั้งสามคนอาจจะสร้างความปั่นป่วนให้เกมรับ "เรือใบสีฟ้า" มากยิ่งขึ้นก็ได้ ฉะนั้นไม่ว่าใครจะลงตัวจริงทัพ "หงส์แดง" มีสิทธิ์ที่จะฉีกแนวรับเจ้าบ้านขาดกระจุยได้เช่นกัน
2. ขาด "กุน" ไม่ขาดใจ
สิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" แฮปปี้พอสมควรก็คือการที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ออกมายืนยันว่า เซร์คิโอ อเกวโร่ หมดสิทธิ์ลงสนามในเกมรับมือแชมป์เก่าสุดสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักเตะไม่สามารถเรียกสภาพความฟิตได้ทัน หลังจากได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังต้นขา
หัวหอกเจ้าของดาวซัลโวตลอดกาลทัพ "เรือใบสีฟ้า" เพิ่งจะลงสนามให้กับทีมไปแค่ 3 เกมเท่านั้นในฤดูกาลนี้ โดยยิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามการขาด "กุน" ก็ไม่ได้ทำให้เกมรุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อ่อนยวบแต่อย่างใดเพราะพวกเขามีออปชั่นมากมายที่สามารถทดแทนได้
แน่นอนว่า กาเบรียล เชซุส จะได้ทำหน้าที่สำคัญในการไล่ล่าตาข่ายคู่ต่อกรหมายเลข 1 ในการแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ขณะเดียวกัน ราฮีม สเตอร์ลิง คงจะใช้ความเร็วในการปั่นป่วน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหมือนทุกๆ ที่ที่ทั้งสองทีมเจอกัน

ขณะเดียวกันสิ่งที่ "หงส์แดง" ต้องระมัดระวังให้มากที่สุดก็คือต้องมีสมาธิในการประกบ เควิด เดอ บรอยน์ เพราะหากปล่อยให้เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียมได้มีพื้นที่มีเวลาในการเล่น งานนี้ทีมเยือนอาจต้องน้ำตาตก เพราะ เดอ บรอยน์ มีทีเด็ดทั้งการเปิดบอลยาว-สั้นที่แม่นยำ แถมยังสามารถยิงไกลได้คมกริบ ฉะนั้น นี่คือจุดที่ คล็อปป์ ต้องกำชับแดนกลางให้พยายามไล่บี้นักเตะแบบหายใจรดต้นคอ
อีกจุดที่ยังคงเป็นทีเด็ดของ แมนฯ ซิตี้ ก็คือฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งเพราะทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์ และ ชูเอา คันเซโล่ มักจะขึ้นมาเติมเกมบุกให้ทีมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญทั้งสองคนยังมีทีเด็ดทั้งการเปิดบอลจากริมเส้น และยิงประตูอย่างในรายของ วอล์คเกอร์ ก็เพิ่งสวมบทฮีโร่ซัดประตูโทนช่วยทีมเฉือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ส่วน คันเซโล่ ก็ซัดประตูปิดกล่องแมตช์ถลุง โอลิมเปียกอส
3. มาติป กลับมาจับคู่ โกเมซ อุ่นใจมากยิ่งขึ้น เกมลีกแมตช์ล่าสุดที่ "หงส์แดง" ชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-1 นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช ลองเสี่ยงใช้งาน นาธาเนียล ฟิลลิปส์ จับคู่กับ โจ โกเมซ ซึ่งหลายเสียงก็ออกแนวชื่นชมการเล่นของกองหลังดาวรุ่งรายนี้ ขณะที่เกมล่าสุดถล่ม อตาลันต้า คล็อปป์เลือกใช้งาน รีส วิลเลี่ยมส์ ทำหน้าที่สำคัญแทน ฟิลลิปส์
ในตอนแรกที่หลายคนค่อนข้างเป็นกังวลเกี่ยวกับการที่ทีมขาด เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ไปๆ มาๆ พวกเขาสามารถประคับประคองการเล่นและเก็บชัยชนะ 5 แมตช์รวดจากทุกรายการ ซึ่งต้องยอมรับว่า คล็อปป์ สามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ไปได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตามการที่ มาติป ฟื้นสภาพร่างกายได้สมบูรณ์แล้ว แน่นอนว่า คล็อปป์ คงจะเลือกใช้งานเขากับ โกเมซ เพราะนักเตะชาวแคเมอรูน ผ่านประสบการณ์ระดับสูงมาแล้วอย่างโชกโชน และน่าจะรับมือกับผู้เล่นที่มีความคล่องตัวสูงของ แมนฯ ซิตี้ ได้เป็นอย่างดี
กระนั้นเกมรับของ "เดอะ เร้ดส์" ก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งอะไรมากนักเพราะทีมเสียไปแล้ว 15 ประตูจาก 7 เกมลีก ซึ่งถือว่าเยอะมากเป็นรองแค่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทีมในโซนตกชั้นเพียง 1 ประตูเท่านั้น ฉะนั้นนี่คือจุดที่ คล็อปป์ จำเป็นต้องรีบแก้ไข เพราะการพบกับ แมนฯ ซิตี้ ที่มีเกมรุกที่ดุดัน และเฉียบคม หากกองหลังเสียสมาธิก็มีสิทธิ์น้ำตาร่วงได้ทันที
4. แนวรับแมนฯ ซิตี้ เหนียวแน่นดุดัน นับตั้งแต่เกมที่ "เรือใบสีฟ้า" โดน เลสเตอร์ ซิตี้ ถลุงยับ 2-5 เกมลีกที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา "เป๊ป" ก็จัดการปรับแต่งระบบเกมรับให้เหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่ เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ หายเจ็บกลับมายืนเซนเตอร์แบ็ก รวมกับ รูเบน ดิอาส ซึ่งเพิ่งย้ายมาจาก เบนฟิก้า ฤดูกาลนี้ แผงหลังของ แมนฯ ซิตี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่ากำแพงเมืองจีน

หลังจากที่เสีย 5 ประตูในเกมกับ "เดอะ ฟ็อกซ์" อีก 8 เกมหลังจากนั้นพวกเขาเสียแค่ 3 ประตูเท่านั้น โดยล่าสุดที่ไล่ต้อน โอลิมเปียกอส 3-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ช่วยทำให้ แมนฯ ซิตี้ สามารถเก็บคลีนชีต 3 แมตช์ติดต่อกันจากทุกรายการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2019
ด้วยการยืนเกมรับได้ตามแบบแผนที่ กวาร์ดิโอล่า วางเอาไว้ทำให้เกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ สามารถเล่นได้อย่างสบายใจ เพราะพวกเขาไม่ต้องพะว้าพะวงเรื่องกองหลังมากนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทีมสามารถเปิดเกมบุกกดดันคู่แข่งได้ตลอด
แม้ว่า ลิเวอร์พูล จะมีสามประสานที่สามารถสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนลงมาเล่นเพื่อสร้างความแตกต่างในเกมบุกก็ตาม แต่ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีเกมรับที่เหนียวแน่น และมั่นใจว่าจะสามารถจัดการแนวรุกระดับเฮฟวี่เมทัลได้สบายๆ 5. เอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ใช่สนามโปรดของเหล่าแชมป์เก่า การมาเยือน แมนฯ ซิตี้ ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญมากๆ สำหรับ "หงส์แดง" อย่างแท้จริงๆ เนื่องจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นสนามปราบบรรดาทีมแชมป์เก่า เนื่องจากเจ้าบ้านมีสถิติที่น่าเหลือเชื่อเมื่อพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะ 9 จาก 10 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ยามที่รับมือแชมป์เก่า

เกมเดียวที่ แมนฯ ซิตี้ พลาดท่าให้กับแชมป์เก่าก็คืแมตช์ที่โดน เลสเตอร์ ซิตี้ ถลุง 2-4 เมื่อเดือนธันวามคม 2016 กระนั้นในการเจอกับที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เจ้าบ้านยังมีสถิติที่น่าสนใจมากๆ นั่นก็คือพวกเขาไม่แพ้ ลิเวอร์พูล ในถิ่น 3 เกมหลังสุดที่พบกัน ที่สำคัญ "หงส์แดง" ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้เลยในการเล่นเกมลีกนัดเยือนปะทะ แมนฯ ซิตี้ 10 แมตช์หลังสุด โดยเสียไปถึง 26 ประตู (ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 7)
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" น่าจะพออุ่นใจได้บ้างก็ตาม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมชาวสแปนิช มักจะแพ้ทาง คล็อปป์ บ่อยๆ เพราะเขาต้องเสียท่าให้กับนายใหญ่ชาวเยอรมันไปถึง 8 ครั้ง มากกว่ากุนซือคนอื่นๆ ที่ "เป๊ป" เคยปะทะกึ๋น
ไม่ใช่เพราะผม!บรูโน่ชมแมนยูเล่นดีทุกคนเกมอัดเอฟเวอร์ตัน

ผมไม่ใช่พระเอก... บรูโน่ แฟร์นันด์ส จอมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชมเพื่อนๆ ช่วยกันได้ดีในเกมบุกสอย เอฟเวอร์ตัน 3-1 พร้อมระบุจังหวะได้ประตูสุดท้ายต้องยกเครดิตให้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์
บรูโน่ แฟร์นันด์ส กองกลางตัวรุกคนเก่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวยกความดีความชอบให้เพื่อนร่วมทีมทุกคน หลังจากที่ทัพ "ปีศาจแดง" บุกไปเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
เกมนี้ บรูโน่ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โดยทำคนเดียวสองประตู ก่อนแอสซิสต์ให้ เอดินสัน คาวานี่ กดประตูปิดท้าย 3-1 ในนาทีที่ 90+5 ซึ่งถึงแม้นี้เจ้าตัวได้รับคำชื่นชมอย่างมาก แต่ ดาวเตะชาวโปรตุกีสวัย 26 ปี มองว่า นี่คือฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมทั้งทีม
"มันเป็นเกมที่ยาก แต่ก่อนลงเล่น เรามีการพูดคุยกันและบอกว่า เราจำเป็นต้องคิดบวกเข้าไว้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรระหว่างเกม เรามีการพูดคุยกัน เราทำประตูได้ และทำหลายอย่างกันได้ดี และเมื่อเราทำได้แบบนี้ สกอร์ที่้เราต้องการมันก็ตามมาเอง"
"อย่างประตูสุดท้าย คุณจะเห็นได้ว่า หาก แฮร์รี่ (แม็กไกวร์) ไม่เข้าแท็กเกิ้ลจังหวะนั้น ผมก็คงไม่ได้บอลหลุดมาพร้อมๆ กับ เอดินสัน และทำประตูได้หรอก ดังนั้นทุกคนจำเป็นต้องช่วยกัน และผมก็คิดว่า วันนี้มันเป็นฟอร์มการเล่นกันเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม" อดีตแข้ง สปอร์ติ้ง ลิสบอน กล่าว
ความคิดเห็น