top of page
ค้นหา

เดินหน้าสู่แชมป์! "รามอส" ซัดโทษมาดริดเบียดเคตาเฟ่หนีบาร์ซ่า4แต้ม

  • aywutwork2020
  • 11 ก.ค. 2563
  • ยาว 3 นาที

ree

ทำตามได้เป้าสำหรับลูกทีมของ ซีเนดีน ซีดาน แม้ต้องโยกมาใช้สนามของทีมชุดเบชั่วคราวหลัง ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ปิดปรับปรุงเบียดเอาชนะ เคตาเฟ่ 1-0 จากลูกจุดโทษท้ายเกมของ เซร์คิโอ รามอส เก็บเพิ่มเป็น 74 คะแนนหนี บาร์ซ่า 4 แต้ม ในศึกฟุตบอล ลา ลีกา สเปน คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

สนาม : เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่

     ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ ราชันชุดขาว โอกาสพาทีมคว้าแชมป์สูงขึ้นโดยหากคว้าชัยในเกมนี้จะหนี บาร์ซ่า 4 แต้มการจัดทัพในแนวรับ แฟร์กล็องด์ เมนดี้  พ้นโทษแบนกลับมาน่าจะเบียด มาร์เซโล่ ลงเป็นตัวจริง แนวรุกสลับใช้ อิสโก้ โชว์บ้าง แทงบอลเงินสด

    ทางด้าน โฆเซ่ บอร์ดาลาส นายใหญ่ เคตาเฟ่ ทีมอันดับ 6 ลุ้นพื้นที่โควตายุโรปโดยตาม เซบีย่า อันดับ 4 อยู่ 5 คะแนนความพร้อมได้ เฌเน่ ดาโกนัม กองหลังตัวเก่งพ้นโทษแบนกลับมาและจะลงยืนคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟกับ ชาเบียร์ เอไชต้า 

    5 นาทีผ่านโอกาสลุ้นประตูครั้งแรกเป็นของ เรอัล มาดริด จากลูกยิงของ คาริม เบนเซม่า ทางด้าน ทีมเยือน เป็นจังหวะขึ้นมาลุ้นโขกลูกเตะมุมของ มาติอัส โอลิเวยร่า แต่เบาบอลเข้ามือผู้รักษาประตู

    นาทีที่ 9 เคตาเฟ่ เกือบทะยานออกนำเป็นบอลยาวเข้าเขตโทษ เนมานย่า มักซิโมวิช สอดมาโขกบอลตกพื้นไปแฉลบ ชาเบียร์ เอไชต้า เปลี่ยนทางพุ่งเสียบเสาแต่ ติโบล กูร์กตัวส์ พุ่งไปปัดออกหลังได้ทัน

    ต่อมานาทีที่ 22 "ราชันชุดขาว" พลาดโอกาสทองเป็นบอลทางซ้ายของ แฟร์กล็องด์ เมนดี้  หลุดขึ้นมาเปิดเข้าในให้ วินิซิอุส จูเนียร์ ตามเข้าชาร์จจ่อๆไปติดปลายมือ ดาบิด โซเรีย เซฟเอาไว้ได้เหลือเชื่อ

    ก่อนหมดครึ่งแรก 10 นาที เรอัล มาดริด ได้เสียวอีกรอบจากจังหวะสวนกลับเป็น เซร์คิโอ รามอส ดันขึ้นสูงตักบอลลึกไปเสาไกลให้ อิสโก้ ทิ้งตัวยิงไปติดเซฟ ดาบิด โซเรีย ตบทิ้งออกหลังไป

    ท้ายเกม เจ้าถิ่น เจ้าถิ่น ได้ลุ้นส่งท้ายจากลูกปั่นของ คาริม เบนเซม่า แต่ก็ยังไม่ดีผ่านหน้าประตูออกไป หมดครึ่งเวลาแรก เรอัล มาดริด 0 เคตาเฟ่ 0

    นาทีที่ 57 จ่าฝูง พยายามเร่งเครื่องคราวนี้เป็น ลูก้า โมดริช รับบอลจาก อิสโก้ หน้ากรอบเขตโทษก่อนซัดด้วยขวาแฉลบแนวรับ เคตาเฟ่ หลุดเสาออกไปนิดเดียว

    นาทีต่อมาเป็น เคตาเฟ่ ตอบโต้บ้างจากความผิดพลาดของ เจ้าถิ่น ไฆเม่ มาต้า เก็บบอลได้ตั้งป้อมปั่นโค้งด้วยขวาผ่านมือ ติโบล กูร์กตัวส์ เหินข้ามคานออกไป UFA23

    สุดท้ายนาทีที่ 78 "ราชันชุดขาว" มาได้ประตูชัยจนได้จากความผิดพลาดของ มาติอัส โอลิเวยร่า เสียเหลี่ยมหวด ดานี่ การ์บาฆาล ร่วงลงไปในกรอบเขตโทษ เซร์คิโอ รามอส สังหารเข้าไปไม่พลาด

    จบเกม เรอัล มาดริด 1 เคตาเฟ่ 0 "ราชันชุดขาว" เก็บเพิ่มเป็น 74 คะแนนทิ้งห่าง บาร์เซโลน่า 4 แต้ม เหลือการแข่งขันอีก 5 นัด รายชื่อนักเตะที่ลงสนามตัวจริง

    เรอัล มาดริด (4-3-3) ติโบล กูร์กตัวส์  - แฟร์กล็องด์ เมนดี้, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, ดานี่ การ์บาฆาล - ลูก้า โมดริช, เอ็นรีเก้ กาเซมีโร่, โทนี่ โครส, อิสโก้, วินิซิอุส จูเนียร์, คาริม เบนเซม่า

    เคตาเฟ่ (4-5-1) ดาบิด โซเรีย - ดาเมี่ยน ซัวเรซ, เฌเน่ ดาโกนัม, ชาเบียร์ เอไชต้า, มาติอัส โอลิเวยร่า - อัลลัน นีออม, เนมานย่า มักซิโมวิช, ดาบิด ติมอร์, เมาโร อารัมบาร์รี่, มาร์ก กูกูเรย่า - ไฆเม่ มาต้า


ทางการ!อินเตอร์คว้าฮาคิมี่จากมาดริดไม่แพง


ree

อินเตอร์ มิลาน ได้นักเตะฝีเท้าเยี่ยมมาเสริมทัพอีกราย หลังดึง อาชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กจอมบุกมาจาก เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวแค่ราว 40 ล้านยูโรเท่านั้น

    เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลา ลีกา สเปน ประกาศยืนยันปล่อยตัว อาชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กขวาชาวโมร็อกกัน ไปให้กับ อินเตอร์ มิลาน ทีมดังใน กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

    ฮาคิมี่ วัย 21 ปี เซ็นสัญญากับ "งูใหญ่" เป็นเวลา 5 ปี หรือจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2025 ส่วนค่าตัวอยู่ที่ราว 40 ล้านยูโร (ประมาณ 1,400 ล้านบาท) บวกโบนัสที่ขึ้นอยู่กับฟอร์มการเล่นอีก 5 ล้านยูโร (ประมาณ 175 ล้านบาท) และได้ค่าเหนื่อยฤดูกาลละ 5 ล้านยูโร     ทั้งนี้ ตลอดช่วงสองฤดูกาลหลังสุด ฮาคิมี่ ถูกปล่อยตัวให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยืมใช้งาน และทำผลงานได้โดดเด่นมากๆ โดยลงเล่นให้ "เสือเหลือง" ทั้งสิ้น 73 นัด ทำได้ 12 ประตู กับ 17 แอสซิสต์


ฉลองแชมป์กร่อย ! เจาะ 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล เสียทรงโดนแมนซิตี้ ยำ


ree

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำเอางานฉลองตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของ ลิเวอร์พูล งานกร่อยไปเลย เมื่อจัดการยำใหญ่แบบไม่เกรงใจศักดิ์ศรีแชมป์ด้วยการไล่ต้อน "หงส์แดง" 4-0 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา

    ก่อนที่เกมจะเปิดฉากบรรดาแข้ง "เรือใบสีฟ้า" และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ ต่างยืนเข้าแถวเกียรติยศเพื่อปรบมือต้อนรับ "เดอะ เร้ดส์" ในฐานะแชมป์เก่า แม้จะมีประเด็นดราม่านิดหน่อยกรณีที่ แบร์นาร์โด้ ซิลวา มิดฟิลด์ชาวโปรตุกีส เดินออกจากแถวทั้งๆ ที่แข้ง ลิเวอร์พูล ยังเดินไม่ถึงตัวเขาด้วยซ้ำ

    ขณะที่เกมในช่วงแรก ลิเวอร์พูล สร้างสรรค์โอกาสได้หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ขาดความเฉียบคม ในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ เมื่อตั้งลำได้ ก็เล่นตอบโต้ได้อย่างดุเดือด ที่สำคัญแนวรุกเจ้าบ้านสุดโหดจริงๆ โดยเฉพาะสามประสาน ราฮีม สเตอร์ลิง, ฟิล โฟเด้น และ เควิน เดอ บรอยน์ จัดการเล่นงาน แนวรับ "หงส์แดง" จนปั่นป่วนไปหมด

สำหรับ สเตอร์ลิง เกมนี้ถือเป็นแมตช์แห่งความทรงจำเพราะเขาซัดประตูแรกนับตั้งแต่ที่ย้ายออกมาจากแอนฟิลด์ แต่คงเป็นเกมที่ โจ โกเมซ อยากลืม เนื่องจากเขาโดนเล่นงานจนอ่วม ที่สำคัญแชมป์ลีกเกือบแพ้ยับถึง 5-0 ถ้าหากประตูสุดท้ายไม่โดน "วีเออาร์" ริบ เนื่องจาก ริยาด มาห์เรซ ทำแฮนด์บอลไปก่อน ที่จะส่งบอลซุกก้นตาข่าย

    ขณะเดียวกันการแพ้ในเกมนี้ทำให้โอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะทำลายสถิติ 100 แต้มของ "เรือใบสีฟ้า" ริบหรี่ลงไปด้วย แต่กระนั้นหากมองในแง่บวก อีก 6 แมตช์ที่เหลือ เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจจะส่งแข้งสำรอง และดาวรุ่งลงไปสั่งสมประสบการณ์ และยังอาจจะใช้เป็นเกมสำหรับปรีซีซั่นไปในตัวด้วย

1. ค่ำคืนที่อยากลืมของ โกเมซ 

 แม้ว่านักเตะลิเวอร์พูล ส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าขาดแรงกระตุ้นในการเล่นไปบ้างในแมตช์นี้ แต่หนึ่งในนักเตะทัพ "หงส์แดง" ที่รู้สึกว่าเขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ทีมต้องเสียประตูที่แรก กับประตูที่สอง นั่นก็คือ โจ โกเมซ 

    เซนเตอร์แบ็กชาวอังกฤษ มักจะทำผลงานได้ดีเยี่ยมเวลาที่จับคู่เกมรับกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แต่สำหรับแมตช์ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม โกเมซ ต้องพบกับฝันร้ายที่อยากจะลืมเมื่อเขาโดนเล่นงานจาก ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เล่นงานเขาซะจนสะบักสะบอมหมดสภาพกองหลังแชมป์ลีกจังหวะที่เสียประตูแรก โกเมซ โดนความสามารถเฉพาะตัวของ สเตอร์ลิง เล่นงานจนต้องใช้มือดึงกระชาก และสุดท้ายก็เสียจุดโทษ จากนั้นก็ยังมาเจอทีเด็ดของ เพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษ จัดการลอกหนึ่งจังหวะและซัดประตูลอดขาอีกต่างหาก งานนี้บอกเลยว่า โกเมซ โดนเล่นงานอย่างหนักจนหมดสภาพจริงๆ

    สำหรับการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ ทัพ "หงส์แดง" อาจจะอยากย้อนกลับมาชมฤดูกาลแห่งความสำเร็จอีกครั้ง แต่สำหรับ ดาวเตะวัย 23 ปี คงไม่อยากย้อนกลับมาชมเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เพราะนี่คือหนึ่งในแมตช์ที่เขาทำผลงานได้ย่ำแย่สุดๆ  2. แนวรุกแชมป์ขาดความเฉียบคม

ต้องยอมรับว่าเกมนี้ คล็อปป์ หวังที่จะคว้าชัยชนะเพื่อเป็นการฉลองแชมป์ ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกส่งผู้เล่นชุดใหญ่ นำโดย 3 ประสานมหากาฬ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ แต่กลายเป็นว่าทั้งสามคนดันเกิดเหตุสนิมเกาะหน้าแข้งซะงั้น

    จะว่าไปแล้วแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นเกมได้อย่างสุดยอด และเหนือกว่าเจ้าบ้าน ที่สำคัญ "หงส์แดง" สร้างโอกาสในการทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง และเกือบจะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย โดยเฉพาะจังหวะของ "บังโม" ที่ซัดไปจนเสา บอลกระดอนมาหา มาเน่ แต่ดันจับบอลพลาด ซึ่งหากจังหวะนั้นเป็นประตู สถานการณ์ของแชมป์น่าจะเปลี่ยนแปลงไป

 เมื่อทำไม่ได้ก็เหมือนเป็นการจุดประกายความโหดของ "เรือใบสีฟ้า" จากนั้นพวกเขาแสดงให้ ลิเวอร์พูล ได้เห็นถึงฟอร์มการเล่นที่เฉียบคม และจังหวะสวนกลับที่สุดแสนน่ากลัว โดยเฉพาะความสามารถในการวางบอล และผ่านบอลของ เควิน เดอ บรอยน์ กับการวิ่งทะลุทลวงของ สเตอร์ลิง กับ ฟิล โฟเด้น 

    สำหรับจุดนี้ คล็อปป์ คงเห็นแล้วว่าทีมของเขายังมีปัญหาในการสู้กับแดนกลางที่ฝีเท้าจัดจ้าน ขณะเดียวกันแนวรับก็ยังไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นในช่วงซัมเมอร์นี้ นายใหญ่ชาวเยอรมัน คงมีการบ้านให้ต้องขบคิดในการกระโจนเข้าสู่ตลาดพ่อค้าแข้งเพื่อหาเซนเตอร์แบ็ก, กองกลาง และหน้าเป้า มาร่วมทีม ไม่งั้นการป้องกันแชมป์ฤดูกาลหน้า คงรากเลือดแหงๆ

3. สเตอร์ลิง จัดทีมเก่าได้ซะที 

 นับตั้งแต่ที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ตัดสินใจโบกมือลาถิ่นแอนฟิลด์ เขาระเบิดฟอร์มสุดยอดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่สิ่งเดียวที่นักเตะยังคงผิดหวังก็คือการที่เล่นไม่ค่อยออกเมื่อต้องปะทะกับ ลิเวอร์พูล ทีมเก่า ซึ่งเกมนี้นักเตะได้ปลดแอกสิ่งเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว 

    ด้วยอาจเป็นเพราะเกมนี้ไม่ได้มีความหมายในการลุ้นแชมป์ ทำให้ สเตอร์ลิง ค่อนข้างจะเล่นอย่างผ่อนคลาย และปลดปล่อยฟอร์มอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เขาทำดูเหมือนจะเป็นผลดีให้กับเจ้าตัว เพราะในฤดูกาลหน้าเมื่อต้องปะทะกันอีกครั้ง งานนี้ ดาวเตะเลือดผู้ดี คงไม่รู้สึกเกร็งอีกต่อไปแล้ว

    ตั้งแต่ต้นเกม สเตอร์ลิง โชว์สเต็ปเทพไล่บี้ขยี้แนวรับของ ลิเวอร์พูลอย่าง หนัก โดยเฉพาะการเล่นงาน โกเมซ ซะเสียทรง จนกระทั่งต้องเสียค่าโง่ทำให้ "หงส์แดง" เสียจุดโทษ จากนั้นก็ยังโชว์การเล่นอย่างเข้าขากับ โฟเด้น ก่อนหลุดเข้าไปซัดลอดขา โกเมซ 

    สเตอร์ลิงซัดประตูแรกจาก 9 เกมที่ปะทะกับสโมสรเก่าของเขา ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไม ปีกความเร็วสูงทีมชาติอังกฤษ ถึงแสดงอาการแฮปปี้แบบไม่เกรงใจเพื่อนร่วมสังกัดเดิม เพราะนี่เหมือนการยกภูเขาออกจากอก และเป็นการปลดปล่อยความเครียดออกซะที  4. เดอ บรอยน์ โชว์คลาส 

 เดวิน เดอ บรอยน์ จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายเป็นการเบิกประตูแรกให้กับ "เรือใบสีฟ้า" และถือเป็นจุดสำคัญในการสร้างปัญหาให้กับ ลิเวอร์พูล เพราะนั่นหมายความว่าทีมเยือนจำเป็นต้องเปิดเกมบุก หากหวังที่จะได้แต้มในแมตช์นี้ แต่กลายเป็นการเปิดช่องให้เจ้าบ้านสวนกลับเป็นว่าเล่น

    ศักยภาพของจอมทัพทีมชาติเบลเยียม สุดยอดเกินจะบรรยาย โดยเขาทำหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์ได้อย่างไม่มีที่ติ รู้ว่าต้องวิ่งไปหาตำแหน่งตรงไหน, เปิดบอลอย่างแม่นยำ และมีสายตาเฉียบคมในการผ่านบอล โดย เดอ บรอยน์ โชว์การแอสซิสต์อย่างเหนือชั้นให้ โฟเด้น ซัดก่อนหมดครึ่งแรก

ครึ่งหลังยังมีอีกหลายครั้งที่ เดอ บรอยน์ สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมแต่ดันยิงทิ้้งยิงขว้าง จนกระทั่งมาถึงจังหวะที่ได้ประตูนำขาด 4-0  เมื่อเขาผ่านบอลให้ สเตอร์ลิง ก่อนที่จะยิงไปโดน อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน สกัดเข้าประตูตัวเอง 

    ที่สำคัญจุดโทษของ เดอ บรอยน์ ทำให้เขาสร้างสถิติยิงจุดโทษ 4 ลูกเป็นประตูหมด ขณะเดียวกันยังพลาดจุดโทษแค่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เล่นให้ แมนฯ ซิตี้ เมื่อปี 2016 นอกจากนี้ยังแอสซิสต์ไปแล้ว 17 ครั้งในซีซั่นนี้ ทำให้ทำสถิติเทียบเท่า เชส ฟาเบรกาส แต่กระนั้นเจ้าตัวยังมีโอกาสสร้างสถิติใหม่เพราะยังเหลืออีกหลายเกมให้ลงเล่นในฤดูกาล 2019/2020

5. เป้าหมายทำคะแนนทะลุ 100 แต้มยากลำบาก 

หนึ่งในแรงกระตุ้นของ ลิเวอร์พูล ในแมตช์นี้ก็คือการตั้งเป้าที่จะจบฤดูกาลด้วยการทำลายสถิติของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเก็บให้ได้เกิน 100 คะนน อย่างไรก็ตามความคาดหวังของพวกเขาในเวลานี้เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาเมื่อโดน "เรือใบสีฟ้า" ยำใหญ่ในเกมล่าสุด

    หลังจบเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ทำให้ตอนนี้เหลือเกมลงเล่นเพียงแค่ 6 แมตช์เท่ากับ 18 คะแนน และปัจจุบัน "หงส์แดง" มี 86 แต้ม ฉะนั้นหากพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้หมดนั่นหมายความว่าจะทำได้ 104 แต้ม ซึ่งแซงหน้าแมนฯ ซิตี้ ที่เคยเก็บได้ 100 คะแนนในซีซั่น 2017/2018

อย่างไรก็ตามพวกเขายังมีแรงกระตุ้นเหลืออยู่หรือเปล่า ? แน่นอนว่าหลังจากนี้ไปมีความเป็นไปได้ที่ คล็อปป์ จะหันมาใช้ระบบโรเตชั่น และปล่อยให้บรรดานักเตะดาวรุ่งอนาคตไกลอย่าง เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ เนโก วิลเลี่ยมส์ รวมไปถึงนักเตะสำรองอย่าง อดัม ลัลลาน่า, ทาคุมิ มินามิโนะ หรือ นาบี เกอิต้า เป็นต้น ได้ลงสนามมากขึ้น เพราะจะทำให้พวกเขาได้รับเหรียญแชมป์ลีก 

    นอกจากนี้ นายใหญ่ชาวเยอรมัน อาจจะมองว่า 6 เกมที่เหลืออยู่เปรียบเสมือนการเล่นเกมปรีซีซั่นไปในตัวด้วย ฉะนั้นเกมพบ อาร์เซน่อล และ เชลซี อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นการทดลองทั้งเกมรัก และเกมรุก ฉะนั้นโอกาสที่จะทำลายสถิติ 100 แต้มของ แมนฯ ซิตี้ น่าจะรีบหรี่เต็มทน 


 
 
 

ความคิดเห็น


©2020 by เว็บไซต์ของฉัน. Proudly created with Wix.com

bottom of page